บ่อยครั้งเวลาที่ไปบริจาคโลหิต จะพบคนที่หน้ามืด วิงเวียน และเป็นลม วันนี้เห็นคนเป็นลมนอนคว่ำอยู่ที่พื้น บางคนก็นั่งหน้าซีดอยู่บนเตียงบริจาค บางคนก็เลือดไม่ไหลต้องเจาะกันหลายครั้ง อาการเหล่านี้เกิดจาก การไม่ได้เตรียมตัว หรือเตรียมตัวไม่พร้อมก่อนการบริจาค เช่นนอนน้อย ไม่ทานอาหารมาให้ครบมื้อ ดื่มน้ำน้อยเกินไป เป็นต้น
ตัวเราเองตอนบริจาคครั้งแรกก็เป็นแบบนั้น คือไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนไปบริจาค ดื่มน้ำน้อย พอเจาะเลือดก็ไหลช้า แต่ในช่วงคัดกรองก็โดนให้โอวาทไปยกใหญ่ จนจำได้มาถึงทุกวันนี้ ที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม แต่แม้เราจะเตรียมตัวก่อนก็ยังพลาดนิดหน่อย วันนี้แม้จะกินอาหารครบมื้อ แต่กินไม่เยอะ พยาบาลที่คัดกรองก็บอกว่าให้ไปกิน ก๋วยเตี๋ยวก่อนค่อยมาบริจาค ทั้งๆ ที่ความเข้มข้นของเลือดก็ไม่มีปัญหา แต่เพื่อป้องการอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้บริจาค ดังนั้นพยาบาลเลยแนะนำให้กินเพิ่ม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีต่อตัวเราเอง เพราะเมื่อเราทำตามคำแนะนำ การเจาะเลือดก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอาการวิงเวียนศรีษะ แต่พยาบาลบางคนก็ไม่ได้ถามคำถามเหมือนกันในการคัดกรอง เพราะน้องเรากับเรา กินเหมือนกัน แต่น้องเราไม่ถูกถามเรื่องกินเลยผ่าน แต่ก็ชวนกันไปกินเพิ่มเพื่อความปลอดภัย
พยาบาลเตือนคนที่จะเป็นลมในระหว่างบริจาคฯ ว่าการให้เป็นเรื่องที่ดี แต่การให้ที่ดีไม่ควรทำให้ผู้ให้เดือดร้อนหรือเป็นอันตราย ถ้าผู้บริจาคฯ เป็นลมที่ศูนย์ฯ พยาบาลยังช่วยดูแลได้ แต่ถ้าไปเป็นลม หมดสติข้างนอก ใครจะดูแล จะเกิดอันตรายอะไรขึ้นบ้างแล้วมันคุ้มกันไหมถ้ามันเป็นแบบนั้น
ฟังแล้วก็ได้คิด เพราะเราก็ไม่เคยคิดเรื่องพวกนั้นเลย คิดแค่ว่าอยากบริจาค ก็ไป แต่ลืมคิดไปว่าหากเราเป็นอะไรไป จะเกิดอะไรขึ้น และเลือดที่ไม่สมบูรณ์จะคุ้มค่ากับต้นทุนในการเตรียมเลือดก่อนนำไปให้ผู้ป่วยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ ด้วยการเตรียมความพร้อม ทานอาหารให้ครบมื้อในปริมาณที่เหมาะสม นอนให้เพียงพอ ขั้นต่ำ 6 ชั่วโมง ไม่อยู่ในช่วงทานยาปฏิชีวนะ และดื่มน้ำมากก่อนการบริจาค นะคะๆ ฝากข้อคิดไว้สำหรับท่านที่ยังไม่เคยบริจาคโลหิต และคิดจะบริจาคเป็นครั้งแรก
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เวบสภากาชาด
น้ำหวานและขนมหลังบริจาคโลหิต